วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เกร็ดความรู้

เกร็ดความรู้ที่ดีต่อชีวิต
เกร็ดความรู้ที่ดีต่อชีวิต1. เรื่องขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำดื่มปัจจุบันเพิ่งมีคนตายเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า โดยสารพิษชนิดหนึ่ง สามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว อายุการใช้งานสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรเสียดาย นำมาบรรจุน้ำดื่มอีก รวมทั้งน้ำที่มากับขวด หากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดที่ ๆ ร้อน ๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้ ดังนั้นเมื่อเปิดดื่มแล้ว ควรดื่มให้หมดภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องจะปลอดภัยกว่า2. ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก มีนักจุลชีววิทยา คนนึงในต่างประเทศ เค้าสังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ ทีแรกเค้าคิดว่าเป็นคราบสบู่ เค้าลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำ ๆ ดังกล่าวเป็นแบคทีเรียชนิดร้ายแรงที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม ของมนุษย์เรานี่แหละ เป็นอาหารอย่างดีของมัน เค้าแนะนำว่า เราควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดีนอกจากนี้เค้าเตือนว่า อะไรที่เป็นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมียนกัลลลล....ลโดยเจ้าเชื้อโรคเนี่ยมันจะเข้ามาทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่ คนที่ผ่าตัด เปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน3. เรื่องคนนอนดึก เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ย แน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสม แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ ควรปฏิบัติดังนี้3.1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก3.2 หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้3.2 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่น ธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ เหมียน กัลลล...ล3.3 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า3.4 ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า3.5 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มี ประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก****ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพ เป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆขั้วกระเพาะเราจะเป็น ปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสีย ออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาดห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจาก ถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้ บ่อย ๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีห้ามกินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเรา บีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อยนะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอน ท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลัง อาหารเช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆอย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากันถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบคทีเรียชนิดไม่ดี ออกจากลำไส้เรา ควรกิน อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อยพืชผักสีเขียว มีคลอโรฟิวส์ ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี เซลแต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่น้ำส้มสายชู 45 นาทีนะจ๊ะ

ความรู้

ทิชชูกับมะเร็งปากมดลูก
เกร็ดความรู้วันนี้เป็นของชาวเว็บท่านหนึ่งที่อยากฝากเตือนผู้หญิงทุกคนค่ะ นั่นคือ มะเร็งร้ายที่ปากมดลูก สิ่งที่ข้าพเจ้าจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก มะเร็งปากมดลูกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นเชื้อราเล็กๆ อยู่จึงไม่กังวลมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงคือทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจที่เมื่อใช้เป็นเวลานานติดต่อกันจะทำให้เกิดในช่องคลอดได้ หมอแนะนำว่าหลังจากเสร็จกิจใน ห้องน้ำ ให้ใช้ทิชชูซับแทนการเช็ด และต้องซับครั้งเดียว ไม่เกิน 10 วินาทีเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราได้ 50 % ด้วย
ความปรารถนาดี

ข่าวสุขภาพ

อาหารอันตรายขณะท้องว่าง
อาหารทุกชนิดก็มีประโยชน์ แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีอาหารอีกบางชนิด ที่เป็นอาหารที่เมื่อทานในขณะที่ท้องไม่ว่างนั้น จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าเกิดทานขณะท้องว่างรับรองว่า เกิดโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า อาหารชนิดใดบ้างที่ห้ามรับประทานขณะท้องว่าง
นมและนมถั่วเหลืองแม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิด ประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่
เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่ง ผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
ชาที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่ง กรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็น การยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
กระเทียมเพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรค กระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ
นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำหลังออกกำลังกาย ด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและ การออกกำลังกายภายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
ดังนั้น เราก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายของเราดีกว่านะคะ...

5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

คนเก่งไม่ใช่มาจาก พันธุกรรม หรอก แต่อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองต่างหาก วันนี้ เกร็ดความรู้

มี 5 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกัน...

1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ
2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง
5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย

เกร็ดความรู้สำหรับเลขานุการ


ระวัง! เลเซอร์พรินต์ อันตรายต่อสุขภาพ

มีใครทราบบ้างว่า เลเซอร์พรินต์ ก็สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ วันนี้ เกร็ดความรู้

มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
ทีมนักวิทยาศาสตร์ในออสเตรเลียพบว่า เครื่อง เลเซอร์พรินเตอร์ ที่ใช้พิมพ์งานในสำนักงานนั้น เป็นอันตรายต่อปอดของคนทำงานได้พอ ๆ กับอนุภาคควันจากการสูบบุหรี่
ผลจากการเฝ้าสังเกตตรวจตราเครื่อง เลเซอร์พรินเตอร์ หลายรุ่น 1 ใน 3 ของเครื่องนั้นปล่อยระดับหมึกที่เป็นอันตรายออกมาสู่อากาศรอบข้าง ทีมนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ เรียกร้องต่อรัฐบาลให้ออกกฎควบคุมการฟุ้งกระจายของหมึกจากเครื่องพรินเตอร์อย่างจริงจัง และเสนอว่าเครื่อง พรินเตอร์ บางชนิดน่าจะมีการติดป้ายเตือนภัยเกี่ยวกับสุขภาพ
นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ทำการทดสอบเครื่อง พรินเตอร์ ต่าง ๆ กว่า 60 เครื่อง พบว่าเกือบ 1/3 นั้นมีการปล่อยอนุภาคหมึกขนาดเล็กจิ๋วออกมา มันมีขนาดเล็กมากจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดได้ และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ในการทดสอบกระทำขึ้นภายในสำนักงานแบบเปิด และพบว่าอนุภาคนั้นเพิ่มขึ้น 5 เท่าระหว่างชั่วโมงทำงาน ซึ่งสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการใช้เครื่อง พรินเตอร์ นั่นเอง ปัญหาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนหมึกพิมพ์ใหม่ และมีการเรียกใช้งานพิมพ์ภาพกราฟฟิกที่มีปริมาณการใช้หมึกพิมพ์สูง
รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมระวังรักษาสุขภาพกันด้วย.

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หนังสือราชการ

หนังสือราชการ
ลักษณะของหนังสือราชการ
หนังสือราชการ คือ เอกสารที่เป็นหลักฐานในราชการ ได้แก่
1. หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ
2. หนังสือที่ส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือที่มีไปถึงบุคคลภายนอก
3. หนังสือที่หน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือที่บุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ
4. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ
5. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือ ข้อบังคับ
หนังสือราชการมี 6 ชนิด
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายใน
3. หนังสือประทับตรา
4. หนังสือสั่งการ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ
การพิมพ์หนังสือราชการภายนอก
หนังสือราชการภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่น ซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ที่ ให้ลงเลขรหัสด้วยพยัญชนะและเลขประจำของเจ้าของเรื่อง
2. ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ให้ลงชื่อส่วนราชการ สถานที่ราชการ หรือคณะกรรมการซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือนั้น และโดยปกติให้ลงที่ตั้งไว้ด้วย
3. วัน เดือน ปี ให้ลงเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือ
4. เรื่อง ให้ลงเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับนั้นในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่อง โดยปกติให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม
5. คำขึ้นต้น ให้ใช้คำขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือ สรรพนาม และคำลงท้าย แล้วลงตำแหน่งของผู้ที่มีหนังสือนั้นมีถึง หรือชื่อบุคคลในกรณีที่มีถึงตัวบุคคลไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่
6. อ้างถึง (ถ้ามี) ให้อ้างถึงหนังสือที่เคยมีต่อกันเฉพาะหนังสือที่ส่วนราชการผู้รับหนังสือได้รับมาก่อนแล้ว การอ้างถึง ให้อ้างถึงหนังสือฉบับสุดท้ายที่ติดต่อกันเพียงฉบับเดียวเว้นแต่มีเรื่องอื่นที่เป็นสาระสำคัญต้องนำมาพิจารณา จึงอ้างหนังสือฉบับอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะให้ทราบด้วย
7. สิ่งที่ส่งมาด้วย (ถ้ามี) ให้ลงชื่อสิ่งของ เอกสาร หรือบรรณสารที่ส่งไปพร้อมกับหนังสือนั้น ในกรณีที่ไม่สามารถส่งไปในซองเดียวกันได้ให้แจ้งด้วยว่าส่งไปโดยทางใด
8. ข้อความ ให้ลงสาระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย หากมีความประสงค์หลายประการให้แยกเป็นข้อ ๆ
9. คำลงท้าย ให้ใช้คำลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือ
10. ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อเจ้าของหนังสือ และให้พิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
11. ตำแหน่ง ให้ลงตำแหน่งของเจ้าของหนังสือ
12. ส่วนราชการเจ้าของเรื่อง ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกระทรวงหรือทบวง ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องทั้งระดับกรมและกอง ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกรมลงมาให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพียงระดับกองหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
13. โทร ให้ลงหมายเลขโทรศัพท์ของส่วนราชการเจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือและหมายเลขภายในตู้สาขา (ถ้ามี) ไว้ด้วย
14. สำเนาส่ง (ถ้ามี) ในกรณีที่ผู้ส่งจัดทำสำเนาส่งไปให้ส่วนราชการหรือบุคคลอื่นทราบและประสงค์จะให้ผู้รับทราบว่าได้มีสำเนาส่งไปให้ผู้ใดแล้ว ให้พิมพ์ชื่อเต็มหรือชื่อย่อของส่วนราชการหรือชื่อบุคคลที่ส่งสำเนาไปให้ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจระหว่างผู้ส่งและผู้รับ ถ้าหากมีรายชื่อที่ส่งมากให้พิมพ์ว่าส่งไปตามรายชื่อที่แนบและแนบรายชื่อไปด้วย

*ขนาดของครุฑในการพิมพ์หนังสือราชการจะมี 2 ขนาด คือขนาด 1.5 ซม. และขนาด 3 ซม. โดยหนังสือราชการภายนอกและหนังสือราชการชนิดอื่น ๆ จะใช้ครุฑขนาด 3 ซม. ส่วนหนังสือราชการภายใน (บันทึกข้อความ) จะใช้ครุฑขนาด 1.5 ซม.

การพิมพ์หนังสือราชการภายใน
หนังสือราชการภายใน คือ หนังสือที่ติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ (ใช้แบบมีเส้นบรรทัดหรือแบบไม่มีเส้นบรรทัด) โดยมี รายละเอียดดังนี้
1. ส่วนราชการ ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนังสือหรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ โดยมี รายละเอียดพอสมควร เช่น ฝ่ายส่งเสริมการศึกษา เป็นต้น
2. ที่ ให้ลงเลขรหัสตัวพยัญชนะและเลขประจำของเจ้าของเรื่องทับเลขทะเบียนหนังสือส่ง เช่น ที่ ศธ 0908.03/213
3. วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือ เช่น 20 มีนาคม 2547 การพิมพ์วัน เดือน ปี ของหนังสือราชการภายในจะพิมพ์เป็นตัวย่อได้ เช่น 20 มี.ค. 47
4. เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับนั้น ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่องโดยปกติให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม
5. คำขึ้นต้น ใช้ตามฐานะของผู้รับหนังสือ นิยมใช้คำว่า “เรียน”
6. ข้อความ ให้ลงสาระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย หากมีความประสงค์หลายประการให้แยกเป็นข้อ ๆ ในกรณีที่มีการอ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกันหรือมีสิ่งที่ส่งมาด้วยให้ระบุไว้ในข้อนี้
7. ลงชื่อและตำแหน่ง ให้เว้น 2 บรรทัดจากบรรทัดสุดท้ายของข้อความ เริ่มต้นพิมพ์จาก กึ่งกลางหน้ากระดาษ พิมพ์ชื่อและนามสกุลไว้ในวงเล็บ สำหรับตำแหน่งขึ้นบรรทัดใหม่ 1 ระยะบรรทัดและพิมพ์วางศูนย์กับชื่อและนามสกุลที่อยู่ในวงเล็บนั้น










ข่าวเทคโนโลยี






ร้านค้าออนไลน์’ (1) ไม่ง่าย...แต่ก็ไม่ยากเกิน !!

“อินเทอร์เน็ต” นับวันจะมีบทบาทกับชีวิตคนไทยมากขึ้น และยุคนี้การใช้อินเทอร์เน็ตเปิด “ร้านค้าออนไลน์” “ประกาศซื้อ-ขายสินค้า” ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างเงินที่น่าสน โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องทำเลหรือขาดเงินทุนในการเปิดร้าน ซึ่งวันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็เกาะกระแส นำข้อมูลมาให้พิจารณา...
ก่อนเปิดร้านออนไลน์ ก็ควรต้องพิจารณาหัวข้อต่อไปนี้คือ “ความรู้-ความเข้าใจ” ต้องเข้าใจว่าเว็บไซต์คืออะไร ทำงานอย่างไร ให้ประโยชน์อะไร และจะประยุกต์สินค้าที่มีให้เข้ากับเว็บไซต์ในด้านใดได้บ้าง
อันดับสอง “การเข้าถึง” หมายถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจและกลุ่มลูกค้า และอันดับสาม “การพัฒนา” ร้านค้าออนไลน์ที่ดีหมายถึงร้านที่สร้างไม่เคยเสร็จ หมายความว่าต้องมีการอัพเดทข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไม่หยุดนิ่ง
ปัจจุบันแม้ไม่มีความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรม ก็สามารถพัฒนาร้านออนไลน์ของตนเองได้ เพราะมีโปรแกรมสำเร็จรูปและมีผู้ให้บริการด้านนี้คอยรองรับอยู่แล้ว
สำหรับการเปิดร้านค้าออนไลน์อาจจำแนกกว้าง ๆ ออกได้ 2 แนวทางคือ...
แนวทางที่ 1 ซื้อชื่อโดเมนและเช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ หรือการสร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ขึ้นเอง ซึ่งสามารถค้นหาบริษัทที่รับจดโดเมนโดยลองค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้น เช่น google, yahoo, sanook โดยพิมพ์คำว่า “รับจดโดเมน” ก็จะพบรายชื่อบริษัทที่ให้บริการ ซึ่งเรื่องโดเมนนี้อธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนกับชื่อบริษัท ชื่อร้าน หรือชื่อสินค้าบริการของคุณ ซึ่งควรจะเป็นชื่อที่จดจำได้ง่าย ไม่สับสน
เมื่อเลือกได้แล้ว ก็ลองใส่ชื่อที่ต้องการจดลงในช่องค้นหาชื่อเว็บไซต์ ถ้าหากชื่อนั้นยังไม่ถูกใช้งานก็จะสามารถลงทะเบียนเป็นเจ้าของชื่อได้ นอกจากนั้น เรื่องของพื้นที่สำหรับเว็บไซต์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะขนาดของพื้นที่ข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์จะเป็นตัวเก็บข้อมูลต่าง ๆ โดยราคาพื้นที่จะแตกต่างกันไปตามขนาดพื้นที่ วิธีนี้ลูกค้าสามารถเข้าถึง เลือกชมสินค้า รวมทั้งสั่งซื้อ ได้โดยตรง
แนวทางที่ 2 การหาพื้นที่ฟรี หรือการลงประกาศสินค้าผ่านทางฟรีเว็บไซต์ ที่เปิดให้บริการลงโฆษณาขายสินค้าและบริการฟรี โดยอาจค้นหาจากในเสิร์ช์เอ็นจิ้นเหมือนแนวทางแรก โดยพิมพ์คำว่า “ลงประกาศฟรี” “ลงโฆษณาสินค้าฟรี” “เปิดร้านฟรี” ก็จะปรากฏเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านนี้มากมาย อาทิ Pantipmarket.com, Tarad.com, Market2u.com เป็นต้น
แต่ละเว็บไซต์ก็จะมีเงื่อนไขในการลงประกาศหรือโฆษณาสินค้าแตกต่างกันไป เช่น จำนวนรูปภาพ จำนวนสินค้า ขนาดพื้นที่เว็บไซต์ แบบฟอร์มการติดต่อผ่านอีเมล์ ระบบรายการสั่งซื้อ อายุของการลงโฆษณา เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะใช้แนวทางนี้ก็ควรต้องศึกษาให้เหมาะสมกับตัวเอง
ขั้นตอนการทำสำหรับแนวทางที่ 2 ขอยกตัวอย่างจากการเปิดร้านกับเว็บไซต์ Tarad.com โดยเริ่มจากเปิดเข้าไปที่เว็บไซต์ จากนั้นคลิกเปิดที่หัวข้อเว็บไซต์สำเร็จรูป เลือกเว็บไซต์ฟรีเพื่อทดลองใช้งานดูก่อน หากใช้บริการแล้วพอใจก็อาจจะเปลี่ยนเป็นแพ็คเกจได้ในภายหลัง จากนั้นอ่านกฎกติกาดูว่าเหมาะสมกับธุรกิจหรือไม่
จากนั้นคลิกที่เริ่มต้นเปิดร้าน ทำการสมัครเป็นสมาชิก อ่านข้อตกลงการใช้บริการเสร็จก็ตอบยอมรับหากเห็นด้วย จากนั้นกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่ปรากฏอยู่ เมื่อเสร็จจากขั้นตอนนี้ก็จะเข้าสู่กระบวนการสร้างเว็บ โดยเริ่มกรอกข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า โดยเลือกจากหมวดหมู่ที่ต้องการ ตามด้วยรายละเอียดอื่น ๆ เมื่อเสร็จสิ้นครบถ้วนก็ให้ Login เข้าไปจัดการกับร้านค้าออนไลน์
ที่สำคัญ ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้บริการ ควรศึกษาเงื่อนไขให้เข้าใจก่อน หรืออาจดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ หรือคู่มือการใช้บริการของเว็บไซต์ออกมาเก็บไว้เพื่อศึกษาด้วย
ทั้งนี้ กรณีการสร้างเว็บไซต์นั้น ข้อมูลจาก
http://www.microsoft.com/ ให้คำแนะนำการสร้างเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักไว้ว่า... 1.ควรเลือกใช้ชื่อหรือคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม เพราะกว่าร้อยละ 90 ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์นั้นมีต้นทางมาจากการค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้น ซึ่งถ้าเลือกคำที่เหมาะสม โอกาสที่ถูกพบและคลิกเข้าดูเว็บย่อมมีมาก
2.ถ้าต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหา ควรทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ สร้างลิงค์มาหา โดยอาจใช้วิธีส่งชื่อเว็บไซต์คุณไปยังเว็บไซต์กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งไปยังเว็บไซต์ทางธุรกิจต่าง ๆ หรืออาจจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ชั้นนำสร้างลิงค์มายังคุณ, 3.ซื้อโฆษณา เป็นทางเลือกหนึ่งในกรณีที่การสร้างลิงค์และเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมยังไม่บรรลุเป้าหมาย และ 4.บันทึกอีเมล์แอดเดรสของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ไว้เพื่อใช้ติดต่อภายหลัง และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ชื่อเว็บไซต์เป็นที่รู้จัก
อาจเป็นเรื่องเทคนิคที่ดูยากสำหรับคนห่างไฮเทค แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะเรียนรู้ และเมื่อทำได้แล้วในเบื้องต้นจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับ “ไอเดีย+มันสมอง” และ “คุณภาพสินค้า-บริการ” ที่จะทำให้ “ร้านค้าออนไลน์” บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ทั้งนี้ กับเรื่องนี้ “ช่องทางทำกิน” วันอาทิตย์ที่ 17 ส.ค.จะมีต่ออีกตอน...

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประเภทของเลขานุการ


ประเภทของเลขานุการ


เลขานุการแบ่งตามหลักวิชาการ สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ


1) เลขานุการประจำตำแหน่ง (Position Secretary) เป็นตำแหน่งเลขานุการที่ถูกกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ และมีอัตราเงินเดือนแน่นอน เลขานุการประเภทนี้ไม่ต้องลาออกแม้มีการเปลี่ยนนาย หรือถ้าตำแหน่งนี้ว่างลง บุคคลในตำแหน่งรองลงมาที่มีความรู้ความสามารถอาจถูกเลื่อนขึ้นสวมตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงได้ เช่น ตำแหน่งเลขานุการกรม เลขานุการบริษัทฯ เป็นต้น


2) เลขานุการประจำตัวบุคคล (Private Secretary) เป็นเลขานุการซึ่งบุคคลจ้างเพื่อช่วยเหลืองานต่างๆ ประจำตัวบุคคล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้จ้าง เช่น เลขานุการส่วนตัวของแพทย์ ดารา นักประพันธ์ เป็นต้น


3) เลขานุการกิตติมศักดิ์ (Honorable Secretary) เป็นเลขานุการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นหรือเชื้อเชิญเพื่อไปเป็นเกียรติ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิโดยอาชีพ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างกว้างขวาง จนเป็นที่ยอมรับของสังคม เลขานุการประเภทนี้ไม่มีเงินเดือนเป็นค่าตอบแทน แต่มีเกียรติที่ได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งนี้


4) เลขานุการพิเศษ (Special Secretary) เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ปกติอยู่แล้ว แต่มีงานพิเศษบางอย่าง ซึ่งต้องเข้าไปร่วมงานนั้น หรือได้รับเชิญพิเศษเป็นบางครั้งให้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการในงานนั้น เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ เช่น เลขานุการกรมศาสนา เลขานุการบูรณะวัด


เลขานุการในการประชุมบางครั้งเลขานุการแบ่งตามหลักการธุรกิจ


1) เลขานุการชั้นต้น (Junior Secretary) เป็นเลขานุการที่จบการศึกษาใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ จะให้ทำงานในลักษณะงานประจำ (Routine Work) และมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการ


2) เลขานุการอาวุโสหรือเลขานุการชั้นสูง (Senior Secretary) เป็นเลขานุการที่มีประสบการณ์ในงานเลขานุการมาก จนได้รับการไว้วางใจจากนาย โดยมีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบสูงกว่าเลขานุการขั้นต้น เช่น มีความรับผิดชอบจัดงานประชุม โต้ตอบจดหมาย จัดเตรียมการเดินทางให้นายจ้างได้


3) เลขานุการบริหาร (Executive Secretary หรือ Administrative Secretary) เป็นเลขานุการที่จะช่วยงานนายจ้างทางด้านการบริหาร เช่น ตัดสินใจ สั่งการแทน วางแผน วางนโยบายหรือวางแนวทางปฏิบัติ
คุณสมบัติที่ดีของเลขานุการงานเลขานุการเป็นงานที่ยุ่งยาก สลับซับซ้อนและแข่งขันกับเวลา จะต้องติดต่อกับบุคคลหลายประเภท จะต้องเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร เป็นตัวแทนในหลายโอกาส


ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการจึงควรเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติดังนี้ คือ


1) มีบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยที่ดี


2) มีความรู้ในวิชาเทคนิคเกี่ยวกับงานเลขานุการ


3) มีพื้นฐานความรู้ทั่วไปดี


4) เคยผ่านการฝึกงาน

จรรยาบรรณของเลขานุการ



จรรยาบรรณของเลขานุการ


1. มีความรับผิดชอบต่องาน และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตบนพื้นฐานของความถูกต้องยุติธรรม จริยธรรม และคุณธรรม

2. ปฏิบัติตามกฎระเบียบขององค์กรที่ตนทำงานอยู่โดยเคร่งครัดและประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี

3. รักษาความลับที่ได้มาจากการทำงานในหน้าที่ โดยไม่แพร่งพรายความลับนั้นต่อผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ในลักษณะที่จะก่อความเสียหายต่อองค์กรที่ตนสังกัดอยู่หรือที่เคยอยู่

4. คำนึ่งถึงความต้องการ และปัญหาของผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชา

5. ไม่มีพฤติกรรมที่จะทำให้เสียภาพพจน์ ทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของอาชีพเลขานุการ ต่อองค์กรที่สังกัดอยู่และต่อสมาคมฯ ตลอดจนส่วนรวมโดยทั่วไป

6. มีทัศนคติที่ดีต่อสถานภาพของผู้ประกอบวิชาชีพอื่น ๆ

ความรู้เกี่ยวกับเลขานุการ





ความหมายของเลขานุการ
คำว่า “เลขานุการ” เป็นคำสนธิ มาจากคำว่า เลข + อนุการ ดังนั้น เลข + อนุการ รวมเป็นคำว่า “เลขานุการ”คำว่า “เลขา” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 แปลว่า ลาย, รอยเขียน, ตัวอักษร, การเขียน, การขีดเขียนคำว่า “อนุการ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 แปลว่า การทำตาม, การเอาอย่างฉะนั้น เมื่อรวมคำว่า “เลขานุการ” จึงมีความหมายว่า “ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหนังสือตามที่ผู้ใหญ่สั่ง (ผู้บังคับบัญชา” สั่ง”คำว่า “เลขานุการ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “SECRETARY” มาจากภาษาลาตินว่า “SECRETUM” แปลว่า “ความลับ” หรือ “SECRET”คำว่า “SECRETARY” จึงแปลว่า “ผู้รู้ความลับนั่นเอง” ดังนั้น ผู้ที่ทำงานในตำแหน่งเลขานุการจึงต้องเป็นผู้ที่รักษาความลับของนายและองค์กรนั้นๆ ได้ดี มีไหวพริบ มีความคิดริเริ่ม มีมนุษยสัมพันธ์ พร้อมทั้งเป็นผู้รอบรู้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วและต้องพยายามปรับปรุงตัวเองให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ เลขานุการที่มีประสิทธิภาพ มีค่าและสำคัญสำหรับสำนักงานมาก
คำว่า “SECRETARY” ซึ่งเป็นคำที่มีอักษรย่อ 9 คำด้วยกัน คือ
S = Sense คือ ความสำนึกว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำE = Efficiency คือ ความสามารถในการปฏิบัติในหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพC = Courage คือ ความกล้า กล้าในการทำงานโดยไม่กลัวว่าจะเกิดความผิดR = Responsibility คือ ความรับผิดชอบในการทำงานE = Energy คือ การมีกำลังใจ และสุขภาพดีในการทำงานT = Technique คือ การมีเทคนิคในการทำงานA = Active คือ ความกระตือรือร้นในการทำงาน มีความว่องไว ไม่เฉื่อยชาR = Rich คือ ความเป็นผู้มีศีลธรรม วางใจได้Y = Youth คือ อยู่ในวัยหนุ่มสาว เป็นวัยที่เหมาะแก่การทำงาน มีความคล่องตัว

ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี



บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ


ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สถานที่ท่องเที่ยว


จังหวัดพังงา

" แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ ถ้ำงามตา ภูผาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร "

ข้อมูลทั่วไป :
พังงา เป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าเขา มีพื้นที่ 4,170.895 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 788 กิโลเมตร ชื่อของจังหวัดพังงานั้นเดิมน่าจะเรียกว่า “เมืองภูงา” ตามชื่อเขางา หรือเขาพังงา ซึ่งอยู่ในตัวเมืองพังงาในปัจจุบัน เมื่อตั้งเมืองขึ้นจึงเรียกกันว่า “เมืองภูงา” เมืองภูงานี้อาจจะตั้งชื่อให้คล้องจองเป็นคู่กับเมืองภูเก็ตมาแต่เดิมก็ได้ แต่เหตุที่เมืองภูงากลายเป็นเมืองพังงานั้น สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากเมืองภูงาเป็นเมืองที่มีแร่อุดมสมบูรณ์จึงมีฝรั่งมาติดต่อซื้อขายแร่ดีบุกกันมาก และฝรั่งเหล่านี้คงจะออกเสียงเมืองภูงาเป็นเมือง “พังงา” เพราะแต่เดิมฝรั่งเขียนเมืองภูงาว่า PHUNGA หรือ PUNGA ซึ่งอาจอ่านว่า ภูงา หรือจะอ่านว่า พังงา หรือ พังกา ก็ได้
ประวัติศาสตร์ความเป็นมา
จากพงศาวดารปรากฏว่าก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เมืองพังงาเป็นเมืองแขวงขึ้นอยู่กับเมืองตะกั่วป่า จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเทียบเท่าเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และโอนเมืองจากฝ่ายกรมท่ามาขึ้นเป็นฝ่ายกลาโหมตั้งแต่นั้นมา ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชดำริที่จะปรับปรุงบูรณะหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าตี จึงได้แต่งตั้งข้าราชการมาเป็นเจ้าเมือง และให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ โดยแต่งตั้งให้พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองพังงาคนแรกในปี 2383 ต่อมาเมืองตะกั่วทุ่งถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองพังงา ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ประชุมเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตจึงมีมติให้ยุบเมืองตะกั่วป่าขึ้นกับจังหวัดพังงาด้วย ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 เป็นต้นมา แรกเริ่มที่ตั้งเป็นเมืองนั้นสถานที่ราชการอยู่ที่บ้านชายค่าย ต่อมา พ.ศ. 2473 จึงได้มาสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นที่บ้านท้ายช้าง ครั้น พ.ศ. 2515 จึงได้สร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้นบริเวณหน้าถ้ำพุงช้างจนถึงปัจจุบัน
จังหวัดพังงาแบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอคุระบุรี อำเภอทับปุด อำเภอกะปง อำเภอตะกั่วทุ่ง อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง และอำเภอเกาะยาว
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี และอ่าวไทย ทิศใต้ ติดกับจังหวัดพัทลุง สงขลา ทิศตะวันออก ติดกับจชายทะเลฝั่งอ่าวไทย ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดตรัง และกระบี่
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญ (รหัสทางไกล 076)
สำนักงานจังหวัด
0-7641-2071
ททท. สำนักงานภาคใต้เขต 4
212-213, 211-036
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
412-140
สถานีตำรวจภูธร อ.เมือง
412-073
ไปรษณีย์จังหวัด
412-172
ตำรวจทางหลวง
327-220
รพ.พังงา
411-033-4
รพ.ตะกั่วป่า
421-780
รพ.คุระบุรี
411-961
รพ.บางไทร
421-660
รพ.ทับปุด
411-963